กดปุ่มเพาเวอร์ และปุ่มเพิ่มเสียง ค้างไว้ 8 วินาที เพื่อให้โทรศัพท์ทำการรีสตาร์ทตัวเครื่อง
หากทำแล้วตัวเครื่องยังไม่มีการตอบสนองใดๆ >>ให้ทำการชาร์จตัวเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีและลองทำอีกครั้ง
หากยังไม่มีการตอบสนองใดๆ ให้นำตัวเครื่อง และเอกสารการซื้อและบัตรรับประกัน ไปที่ศูนย์บริการแต่งตั้งของเรียลมีที่ใกล้เพื่อทำการซ่อม
ข้อแนะนำในการใช้งาน เพื่อให้โทรศัพท์ของท่านมีการใช้งานที่สมบูรณ์:
*ล้างแครชและสแกนไวรัสอย่างสม่ำเสมอ [Security Center] และรีบูทตัวเครื่องอาทิตย์ละครั้ง
*ยกเลิกการติดตั้งแอพลิเคชั่นที่ไม่มีความจำเป็น หรือแอพลิเคชั่นที่มีบัค
*ยกเลิกการติดตั้งแอพลิเคชั่นที่ไม่มีความจำเป็น หรือแอพลิเคชั่นที่มีบัค
*หลีกเลี่ยงการเปิดแอพลิเคชั่นค้างไว้พร้อมๆกัน. คลิก >>ปุ่มล้างทั้งหมด >> เพื่อทำการปิดแอพลิเคชั่นที่เปิดค้างไว้อยู่.
ถ้าโทรศัพท์ของคุณรีสตาร์ทหรือปิดตัวเองบ่อยครั้ง, ให้ทำการตรวจสอบตามขั้นตอนดังนี้:
1.ถ้าปัญหาเกิดอยู่ในระหว่างการใช้งานแอพลิเคชั่นใดๆอยู่, ให้ลองถอนการติดตั้งแอพลิเคชั่นนั้นออกว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่
2.มั่นใจว่าปัญหาที่เกิด ไม่ได้เกิดจากการใช้งานที่ผิดพลาด เช่น ทัชผิด หรือเผลอกดปุ่มเพาเวอร์. และปุ่มเพาเวอร์ไม่ได้ถูกกดทับด้วยเครส
3.โทรศัพท์ของคุณอาจทำการรีสตาร์ทหรือปิดตัวเอง เมื่อมีการใช้งานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นจัดหรือร้องเกินไป
4.นำซิมการ์ดออกมาตรวจสอบว่าซิมการ์ดไม่มีความเสียหาย หรือ เกิดสนามแม่เหล็ก จากนั้นใส่กลับไปอีกครั้งและตรวจสอบว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่
5.ทำการชาร์จแบตเตอรี่ 30 นาที ,จากนั้นกดปุ่มเพาเวอร์และเพิ่มเสียงเพื่อรีสตาร์ท และเช็คว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่
6.ไปที่ [ตั้งค่า] > [การตั้งค่าเพิ่มเติม] > [อัตโนมัติ เปิด/ปิด] และเช็คว่าตัวเครื่องตั้งค่าการปิดเครื่องอัตโนมัติหรือไม่
7.ไปที่ [ศูนย์รักษาความปลอดภัย] > [สแกนไวรัส], เพื่อทำสแกนไวรัส, การเชื่อมต่อหรือโปรแกรมที่อันตราย และไม่ควรติดตั้งแอพลิเคชั่นที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่เสถียร
8.ไปที่ [ตั้งค่า] > [อัพเดทระบบ], ตรวจสอบและอัพเดท คัลเลอร์โอเอสของคุณให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
9.ติดต่อ realme ทีมช่วยเหลือ, หรือนำโทรศัพท์ของคุณ ,เอกสารการซื้อ และบัตรรับประกัน ไปยังศูนย์บริการ realme ภายในพื้นที่
1.ใช้ USB อะแดปเตอร์และสายชาร์จ ของแท้ของ realme เท่านั้น
2.เช็คสายชาร์จและ USB อะแดปเตอร์ของคุณว่าเริ่มที่จะเสียหายหรือไม่ และมีการเชื่อมต่อที่แน่น ไม่หลวม และลองเปลี่ยนสายชาร์จหรือ USB อะแดปเตอร์อันอื่น และลองชาร์จอีกครั้ง
3.เช็คอุณหภูมิในการชาร์จ อุณหภูมิที่เกิน 45 องศาเซียลเซียส จะทำให้ประสิทธิภาพของการชาร์จแบตเตอรี่ลดลง, การชาร์จจะช้าและใช้เวลาชาร์จนานขึ้น
4.ปิดแอพลิเคชั่นทั้งหมดและหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ขณะชาร์จ
หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ให้ติดต่อ realme ทีมช่วยเหลือ, หรือนำโทรศัพท์ของคุณ ,อุปกรณ์ชาร์จ, เอกสารการซื้อ และบัตรรับประกัน ไปยังศูนย์บริการ realme ภายในพื้นที่เพื่อรับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
1.นำเคสโทรศัพท์ออก
2. ปกติแล้วโทรศัพท์จะอุ่นขึ้นก้ต่อเมื่อหากโทรศัพท์มีความอุ่นระหว่างชาร์จไฟในขณะเล่นเกมหรือดูวิดีโอ,โทรหรือใช้อินเทอร์เน็ตในเครือข่ายมือถือที่ไม่ดี เพราะใช้พลังงานเป็นมาก ขอแนะนำถ้าโทรหรือใช้อินเทอร์เน็ตให้ใช้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณแรง หากโทรศัพท์ร้อนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหรือเกินกว่าช่วงการใช้งานตามให้คุณต้องหยุดใช้โทรศัพท์และปล่อยทิ้งไว้สักครู่
3. รีสตาร์ทโทรศัพท์และตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณมี Color OS เวอร์ชันล่าสุด
หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ให้ติดต่อ realme ทีมช่วยเหลือ, หรือนำโทรศัพท์ของคุณ ,อุปกรณ์ชาร์จ, เอกสารการซื้อ และบัตรรับประกัน ไปยังศูนย์บริการ realme ภายในพื้นที่เพื่อรับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
1.ตรวจสอบตำแหน่งของคุณและยืนยันว่าคุณอยู่ในพื้นที่ภายในเครือข่ายผู้ให้บริการเครือข่าย มิฉะนั้นระบบเครือข่ายและการรับสัญญาณสื่อสารของโทรศัพท์ของคุณจะได้รับผลกระทบหรือถูกรบกวน
2.ลบการปกป้องที่สาม เพื่อมันอาจจะมีผลกระทบต่อการรับสัญญาณ
3.ตรวจสอบระบบโทรศัพท์ของคุณ
ตรวจสอบซิมการ์ดของคุณเปิดใช้งานหรือไม่
ปรับ [ประเภทเครือข่ายที่ต้องการ] ไปที่ [4G / 3G / 2G (อัตโนมัติ)]
ถ้ามีการเชื่อมต่อ VPN ให้ยกเลิกการเชื่อมต่อ
ไปที่ (การตั้งค่า)>[ซิมการ์ดและเครือข่ายมือถือ] หรือ [ซิมการ์ดและเซลลูล่า]> [ข้อมูลซิมการ์ด]> [ชื่อจุดเข้าใช้งาน], รีเซ็ต APN ใหม่เป็นค่าเริ่มต้น
4.นำซิมการ์ดออก, ตรวจสอบว่าซิมการ์ดเสียหายหรือไม่,ทำความสะอาดซิมการ์ดและใส่ซิมการ์ดกลับเข้าที่เดิม,หรือลองซิมการ์ดอันอื่นบนโทรศัพท์ของคุณ
5.รีสตาร์ทโทรศัพท์ของคุณ
6.อัพเดทระบบให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
7.สำรองและโอนย้ายข้อมูลก่อน หลังจากนั้นรีเซ็ตและตั้งค่าเริ่มต้น
8. ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณเพื่อตรวจสอบว่าปัญหาเกิดจากผู้ให้บริการหรือไม่
1.ตรวจสอบตำแหน่งของคุณและลองใช้ที่อื่น ๆ เมื่อค้นหาพื้นที่สัญญาณที่มุมอับ คุณอาจได้ยินเสียงรบกวนในระหว่างการโทรศัพท์ สอบถามกับผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณเกี่ยวกับปัญหาเครือข่าย
2.ถ้าเสียงปกติตอนเปิดเสียงลำโพงให้ตรวจสอบการรับเสียงแทน หากคุณยังไม่ได้ยินเสียงชัดเจน ระบบโทรศัพท์หรือผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณอาจเป็นปัญหา
3.ตัวรับสัญญาณจะไม่ทำงานหากมีการปิดกั้นหรือสกปรก ทำความสะอาดเครื่องรับด้วยแปรงที่สะอาดและนุ่มหรือก้านสำลี
4.ถอดที่เคสโทรศัพท์หรือตัวฟิลม์หน้าจอที่อาจปิดกั้นตัวรับสัญญาณ หลังจากนั้นทดสอบอีกครั้ง
5.ตรวจสอบอุปกรณ์เสริมที่เชื่อมต่อและลองใช้ชุดหูฟังกับโทรศัพท์เครื่องอื่นและดูว่าทำงานได้หรือไม่
6.รีสตาร์ทโทรศัพท์และอัพเดตเวอร์ชั่น ColorOS
7.ถ้าคุณไม่ได้ยินเสียงคนนั้นชัดเจน มันอาจเป็นปัญหาทางโทรศัพท์ฝั่งปลายทาง
1. หากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณอ่อนให้เปลี่ยนสถานที่ของคุณและลองอีกครั้ง ถอดเคสโทรศัพท์ของคุณ หรือเคสโทรศัพท์แบบโลหะจะปิดกั้นการรับสัญญาณ
2.ตรวจสอบกับผู้ให้บริการของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ซื้อแผนบริการข้อมูลแล้วและซิมการ์ดของคุณไม่มีข้อมูลการใช้งาน
3.ลองใส่ซิมการ์ดหรือลองใช้ซิมการ์ดอื่นในโทรศัพท์ของคุณอีกครั้ง
4.ตรวจสอบการตั้งค่าโทรศัพท์:
ยืนยันให้แน่ใจว่า [โหมดเครื่องบิน] และ WIFI ถูกปิดอยู่] และเปิดใช้งานข้อมูลมือถือ
ถ้ามีการเชื่อมต่อ VPN ให้ยกเลิกการเชื่อมต่อ
ปรับประเภทเครือข่ายที่ต้องการเป็น [4G / 3G / 2G (อัตโนมัติ)] เปลี่ยนหรือรีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่ายผู้ให้บริการ
5.รีสตาร์ทโทรศัพท์ของคุณและดูว่ามีปัญหาอยู่หรือไม่
6.ตรวจหาและอัพเดตเวอร์ชั่น ColorOS
7.สำรองและโอนย้ายข้อมูลบนโทรศัพท์ของคุณก่อน หลังจากนั้นรีเซ็ตโทรศัพท์ให้อยู่ในสถานะเริ่มต้นและการตั้งค่า
8.แอพพลิเคชันหลายตัวที่ทำงานอยู่เบื้องหลังจะใช้ความเร็วของเครือข่าย ดังนั้นให้ปิดแอพพลิเคชันเมื่อไม่ใช้งานในเวลานั้น ตัวอย่างเช่นการดาวน์โหลดไฟล์ในขณะดูวิดีโอออนไลน์อาจส่งผลต่อความเร็วในการดูวิดีโอ
1.ตรวจสอบตำแหน่งของคุณและยืนยันว่าคุณอยู่ในพื้นที่ภายในเครือข่ายผู้ให้บริการเครือข่าย มิฉะนั้นระบบเครือข่ายและการรับสัญญาณสื่อสารของโทรศัพท์ของคุณจะได้รับผลกระทบหรือถูกรบกวน
2.ลบการปกป้องที่สาม เพื่อมันอาจจะมีผลกระทบต่อการรับสัญญาณ
3.ตรวจสอบระบบโทรศัพท์ของคุณ
ตรวจสอบซิมการ์ดของคุณเปิดใช้งานหรือไม่
ปรับ [ประเภทเครือข่ายที่ต้องการ] ไปที่ [4G / 3G / 2G (อัตโนมัติ)]
ถ้ามีการเชื่อมต่อ VPN ให้ยกเลิกการเชื่อมต่อ
ไปที่ (การตั้งค่า)>[ซิมการ์ดและเครือข่ายมือถือ] หรือ [ซิมการ์ดและเซลลูล่า]> [ข้อมูลซิมการ์ด]> [ชื่อจุดเข้าใช้งาน], รีเซ็ต APN ใหม่เป็นค่าเริ่มต้น
4.นำซิมการ์ดออก, ตรวจสอบว่าซิมการ์ดเสียหายหรือไม่,ทำความสะอาดซิมการ์ดและใส่ซิมการ์ดกลับเข้าที่เดิม,หรือลองซิมการ์ดอันอื่นบนโทรศัพท์ของคุณ
5.รีสตาร์ทโทรศัพท์ของคุณ
6.อัพเดทระบบให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
7.สำรองและโอนย้ายข้อมูลก่อน หลังจากนั้นรีเซ็ตและตั้งค่าเริ่มต้น
8. ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณเพื่อตรวจสอบว่าปัญหาเกิดจากผู้ให้บริการหรือไม่
1.ตรวจสอบสัญญาณ Wi-Fi แถบด้านบน, ยืนยันว่าคุณอยู่ในช่องของเราเตอร์และสามารถรับสัญญาณแรงพอ
2.เมื่อเชื่อมต่อสัญญาณเครือข่าย Wi-Fi แบบสาธารณะ, ความเร็วของเครือข่ายอาจจะช้าเพราะมีผู้ใช้จำนวนมาก, ดังนั้นควรเชื่อมต่อสัญญาณเครือข่าย Wi-Fiอันอื่นและตรวจสอบว่ายังเจอปัญหาไหม
3.ล้างแคชและไฟล์ขยะบนโทรศัพท์ของคุณ,และสแกนความปลอดภัย
4.ถ้าคุณเป็นคนควบคุมดูแล Wi-Fi นี้,กรุณารีสตาร์ทเราเตอร์
5.ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณเพื่อตรวจสอบว่าปัญหาเกิดจากเครือข่ายหรือเครือข่ายเต็มหรือไม่
1.ยืนยันว่าเราเตอร์ของคุณอยู่ในระยะที่กำหนด
2.โปรดลอเครือข่าย Wi-Fi บนโทรศัพท์เครื่องอื่น,ถ้าการเชื่อมต่อ Wi-Fiเครื่องอื่นยังคงล้มเหลว, กรุณาติกต่อผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณในการขอรับการช่วยเหลือ
3.ตรวจสอบรหัสผ่านของคุณว่าถูกต้องไหม ,ถ้าถูกต้องแล้วยังไม่สามารถเชื่อมต่อWi-Fi ได้, ให้คลิกลืมเครือข่ายWi-Fi นี้ และลองใส่รหัสผ่านอีกครั้ง จากนั้นกดเชื่อมต่อ
4.ไปที่ (การตั้งค่า) > (การตั้งค่าเพิ่มเติม)> (การจัดการแอพพิเคชั่น) >(ทั้งหมด)>(ตั้งค่าWi-Fi) กดล้างข้อมูลและล้างแคช,หลังจากนั้นโปรดเชื่อมต่อเครือข่ายWi-Fi อีกครั้ง
5.รีสตาร์ทโทรศัพท์
6.ตรวจสอบและยืนยันว่าเราเตอร์เชื่อมต่อกับโมเด็ม,ให้รีสตาร์ทเราเตอร์และลองเชื่อมต่อเครือข่ายWi-Fiอีกครั้งภายหลัง10นาที
7.ตรวจสอบและยืนยันว่าสายเชื่อมต่อไม่หลุดและไม่ได้เสียหาย,แล้วลองเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง
8.โปรดสำรองและโอนย้ายข้อมูลก่อน หลังจากนั้นรีเซ็ตโทรศัพท์ของคุณให้เป็นตั้งค่าเริ่มต้น
1.ตรวจสอบว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณดีแล้ว
2.ไปที่ (ตั้งค่า)>(ตั้งค่าเพิ่มเติม)> (วัน&เวลา)และเปิดใช้งาน (ตั้งค่าเป็นอัตโนมัติ), บริดการGoogle Play จะซิงค์กับเซิฟเวอร์หลักเพื่อทำการรับส่งข้อมูล
3.ไปที่ (การจัดการแอพพิเคชั่น) >(ทั้งหมด) >(ติดตั้งmanager),แตะที่ (เปิดใช้งาน) ให้เปิดใช้งานแอพพิเคชั่น
4.ไปที่ (การจัดการแอพพิเคชั่น) >(ทั้งหมด) > (Google Play Store), คลิก(ล้างข้อมูล) &(ล้างแคช), เช่นเดียวกันนั้นให้ล้างข้อมูลเพื่อการบริการ Google Framework.
5.ถ้าปัญหายังคงอยู่เหมือนเดิม, กรุณาลบและเพิ่มบัญชีGoogle บนอุปกรณ์ของคุณ
1.ยืนยันว่าอุปกรณ์ของคุณกำลังจับคู่อยู่ภายในระยะ 10 เมตร
2.ไปที่ (การตั้งค่า)>(บลูทูธ) และเปิดการใช้งานของ(Phone Visibility)
4.บางอุปกรณ์มีการจัดการพลังงานอัจฉริยะซึ่งอาจปิดบลูทูธ หากระดับแบตเตอรี่ต่ำเกินไป หากโทรศัพท์ของคุณไม่ได้จับคู่ ตรวจสอบอุปกรณ์ให้เเน่ชัดว่าอุปกรณ์ที่กำลังจะเชื่อมต่อนั้นมีเเบตตอรี่เพียงพอหรือต่อเข้ากับปลั้กไฟ
5.รีสตาร์ทโทรศัพท์ของคุณและยืนยันว่าคุณใช้เวอร์ชั่นระบบใหม่ล่าสุด
1.ไปที่ (การตั้งค่า) > (การตั้งค่าเพิ่มเติม)>( การจัดการแอพพิเคชั่น) > (ติดตั้ง) >เลือกแอพพิเคชั่นที่ไม่เหมาะสมและคลิกที่ (ล้างช้อมูล)& (ล้างแคช)
2.ติดตั้งแอพพิเคชั่นใหม่อีกครั้ง
1.ยืนยันว่าโทรศัพท์ของคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายแล้ว
2.ไปที่ (การตั้งค่า)>(แถบการแจ้งเตือนและสถานะ)>(การจัดการแจ้งแตือน), คลิกที่แอพพิเคชั่นและเปิดใช้งาน (อนุญาตแจ้งแตือน)
3.ยืนยันว่า ( โหมดพลังงานต่ำ), (โหมดเครื่องบิน)และ(โหมดห้ามรบกวน) ว่าปิดหมดแล้ว
4.ไปที่ (การตั้งค่า) >(แบตเตอรี่) >(ประหยัดพลังงาน)>เลือกแอพพิเคชั่นและปิดการใช้งาน
5.คลิกปุ่มเมนูและเลื่อนหน้าแอพพลิเคชั่นลงไปจนกว่าคุณจะสามารถล็อคไอคอนไว้ที่มุมด้านบนเพื่อให้แอพพลิเคชันทำงาน
6. ไปที่ (การจัดการโทรศัพท์) หรือ (ความปลอดภัย)> (การอนุญาตความเป็นส่วนตัว)> (เริ่มต้นการจัดการ)และเปิกใช้งานบนปุ่มการอนุญาตแอพพิเคชั่นและเริ่มทำงาน
7.ตรวจสอบว่าแอพพิเคชั่นของคุณได้มีการอัพเดทและดาวน์โหลดเวอรขั่นใหม่ล่สุด ใน[Play Store].
8.อัพเดทระบบให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
1.รีสตาร์ทโทรศัพท์ของคุณและดูว่ามีปัญหาหรือไม่
2.ไปที่(การตั้งค่า)> (การจัดการแอพพิเคชั่น)และค้นหากล้อง, คลิกที่กล้อง,หลังจากนั้นล้างข้อมูลและล้างแคช
3.ไปที่(การตั้งค่า)> (การรักษาความปลอดภัย)>( อนุญาต) , คลิก( แอพพิเคชั่น), คลิกที่แอพพิเคชั่นที่สามของกล้องที่คุณต้องการใช้ หลังจากนั้นอนุญาตการใช้กล้อง
4.อัพเดทโทรศัพท์ของคุณเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
1.รีสตาร์ทโทรศัพท์และหลังจากนั้นโปรดยืนยันว่าเวอร์ชั่นล่าสุด
2. โปรดสำรองข้อมูลทั้งหมดของท่านก่อน, หลังจากนั้นให้รีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมดและดูว่ายังมีปัญหาหรือไม่
คำเตือน: ห้ามรูทโทรศัพท์ด้วยตัวเอง เพราะว่า ถ้ารูทเองจะทำให้ระบบโทรศัพท์เกิดความเสียหายได้และคุณจะถูกตัดประกันทันที
ถ้ายังเจอปัญหาเหมือนเดิมอยู่ ให้นำโทรศัพท์ของท่าน,หลักฐานการซื้อและบัตรการรับประกันมายังศูนย์บริการเรียลมีใกล้ๆท่านเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ